On-demand manufacturing เป็นการผลิตตามความต้องการ ซึ่งกำลังเปลี่ยนวิธีการแบบเดิมๆ ที่บริษัทจะนำผลิตภัณฑ์ของตนออกสู่ตลาด ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถสั่งซื้อต้นแบบ และการผลิตระยะสั้นในราคาต่ำ การผลิตที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและต้นทุนการผลิตต่ำจะช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรในเรื่องอื่น ๆ ได้มาก
ทั้งนี้ในกรอบของการผลิตในอนาคต หรือ Factories of the Future คงหนี้ไม่พ้นเรื่องการหาวัตถุดิบใหม่ๆ เช่น มีน้ำหนักเบา หรือแบตเตอรี่ประหยัดพลังงานได้ รีไซเคิลกลับมาใช้ได้ง่ายเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งกระบวนการ Automation หรือว่าไอทีมาช่วยเสริมในการผลิตเป็นสิ่งที่สำคัญแล้วในยุคปัจจุบันและอนาคต
การผลิตแบบ Digital Manufacturing ก็คือกระบวนการผลิตที่นำเอา “เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์” เข้ามามีบทบาทในระดับสูง ส่งผลให้การผลิตสินค้ามีความเที่ยงตรงแม่นยำมากขึ้น (ทั้งในเชิงรูปแบบและจำนวน) และขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของการผลิตให้ก้าวไปสู่มิติใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในปัจจุบันระบบการผลิตเช่นนี้ อาจมีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น Direct Digital Manufacturing, Rapid Manufacturing, Instant Manufacturing หรือ On-demand Manufacturing เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตลักษณะนี้ แน่นอนว่า 3D Printer ตรงตามเงื่อนไขและความต้องการการผลิตมากที่สุดแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาสินค้าต้นแบบ (Prototype) และสินค้าตัวจริงได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถวางแผนการผลิตได้เสร็จสรรพตั้งแต่ต้นจนจบ และยังมีความพร้อมที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์หรือการผลิตส่วนไหนก็ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างง่ายดายด้วย ทั้งนี้มีการกล่าวกันว่าเทคโนโลยีดิจิตอลที่กำลังพลิกโฉมวิธีการผลิตสินค้า ซึ่งอาจจะเปลี่ยนวิถีชีวิตและวิถีการทำงานของเราในวันนี้อาจจะเป็น “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3”
ตัวอย่างที่ลูกค้าสั่งผลิต




ประโยชน์ก็คือการได้นำเครื่องมือและนวัตกรรมต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ล้วนแต่เป็นข้อดีของการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้กับการผลิต เช่น ยกระดับความสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร พลังงาน และเวลา สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างบุคคลากร (Team Collaboration) ลดการทำงานบนกระดาษ ลดขยะ ลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) เพิ่มศักยภาพการผลิต และเพิ่มผลผลิต เป็นต้น

